"น้ำผัก" เมื่อหลายๆ คนได้ยิน ก็ชวนแหวะแล้ว อาจจะเพราะนึกถึงตอนวัยเด็กที่คุณแม่บังคับให้ทานผักรสชาติมันใช้ไม่ได้เอาซะเลย แต่ตอนนี้คุณต้องเปลี่ยนทัศนติซะใหม่ว่าน้ำผักผลไม้ไม่ได้มีรสชาติเลวร้ายอย่างที่คุณคิดเสมอไปนะ เพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติ สี กลิ่น เสียใหม่ได้ เปลี่ยนมีความคิดสร้างสรรค์ หรืออาจจะทนกลั้นฝืนทานเพื่อความสวยของเราครับ
เอาละครับเล่ามาซะยาว วันนี้นุชาจะมานำเสนอนำผักปั่นที่อยากจะบอกได้ว่า เป็นสูตรที่ได้ผลต่อการรักษาสิว และทำให้ผิวพรรณของนุชาทำกระดำกระด่าง กลับมาเจิดรัสได้อีกครั้ง (เว่อร์ไปปะ 555) ซึ่งขั้นตอนการทำนั้นไม่ยากเลย นุชาจะกล่าวถึงส่วนผสม ขั้นตอนการทำ และอ้างอิงข้อมูลวิทยาศาสตร์เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติว่าสิ่งที่นุชาได้ทำไม่ใช่การที่เพ้อไปเองคนเดียวนะครับ
ส่วนผสม :
1.บีทรูท 1 หัว (พระเอกของเรา)
2.แครอท 1/2 หัว
3.คื่นช่าย 2 ต้น
4.มะนาว 1/2 ลูก
5.น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
6.แอปเปิ้ล 1/3 ลูก
6.น้ำเปล่า 300 ml.
1.ปอกเปลือก บีทรูท และแครอท แอปเปิ้ล ล้างน้ำให้สะอาด
2.หั่นส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ (เครื่องปั่นจะได้ไม่ทำงานหนักและละเอียดง่าย)
3.นำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องปั่น บีบน้ำมะนาว ครึ่งลูก และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
4.เติมน้ำสะอาด
5.ปั่นๆ ให้ละเอียดที่สุด
6.ดื่มทั้งกาก
**เหตุผลที่แนะนำให้ดื่มทั้งกากเลยเพราะว่าจะช่วยเพิ่มกากใยอาหารให้กับลำไส้ที่เปรียบเสมือนไม้กวาดที่ช่วยกวาดของเสียออกจากลำไส้ได้ครับ
สูตรน้ำปั่นนี้ช่วยเรื่ืองอะไรบ้าง
1.ด้านการรักษาสิว : สำหรับนุชาช่วยอย่างมากในเรื่องการรักษาสิวอักเสบและอาการอักเสบของผิวหนังส่วนอื่นๆ ตามร่างกาย ทำให้หายเร็วขึ้นมากคะแนน 10/10
2.ผิวพรรณ ถ้าสังเกตุดูจากรูปแล้วอาจจะเห็นความต่างไม่มากมายนัก แต่ระยะเห็นผลอาจจะต้องทาน 3 เดือนขึ้นไปจะสังเกตุได้ว่าผิวพรรณดูขาวใสมีน้ำมีนวลมากขึ้นครับ
3.การลดน้ำหนััก แน่นอนว่าทานแล้วสามารถควบคุมอาหารได้สบาย แต่ไม่ใช่ผลดีกับนุชานะครับ นุชาจะต้องเน้นทานโปรตีนมากๆ ไม่อยากผอมแล้ว (ทรมานกันหุ่นแห้งๆ)
แนะนำวิธีการทาน
- สำหรับผู้รักษาสิว แนะนำให้ทานก่อนอาหารเช้า - เย็น 40 นาที 1 แก้ว ทุกวัน
- ผู้ที่ลดน้ำหนัก รักษาสุขภาพผิวพรรณอื่นๆ แนะนำทาน เช้า ก่อนอาหาร 30 นาที และตอนเย็นทานแทนอาหารร่วมกับการทานผักผลไม้อื่นๆ หรือธัญพืชที่หลากหลาย
ผลตอบรับจากผู้ทดลองปฏิบัติ
มาดูว่าส่วนผสมแต่ละตัวให้อะไรคุณบ้าง
บีทรูท คิืออะไรหลอ เพิ่งเคยได้ยิน ?
บีทรูทเป็นผักเพื่อสุขภาพโดยแท้จริง ด้วยสารอาหารหลายชนิดที่มีอยู่ ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม เหล็ก ทั้งให้วิตามินซีสูง วิตามินเอ บี 1 บี 2 และ สารสีแดงในหัวบีทรูท คือเบทานิน (betanin) เป็น กรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ทั้งบีทรูทยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย บำรุงเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี บำรุงตับ ไต ถุงน้ำดี เป็นอาหารล้างพิษโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรัง เป็นยาระบาย แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยการเจริญอาหารและแก้บิด แก้ปวดหัว ปวดฟัน ขับปัสสาวะ ลดอาการบวม
แยกคุณค่าอาหารบีทรูทออกได้เป็น เนื้อสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 27 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย โซเดียม 241 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม เส้นใย 2.9 กรัม น้ำตาล 0.6 กรัม โปรตีน 2.6 กรัม โพแทสเซียม 909 มิลลิกรัม
นอกจากนานาสรรพคุณ ปัจจุบันพบว่าหัวบีทรูทถูกนำไปใช้เป็นโภชนาบำบัด ช่วยรักษาผู้ที่เป็นสิวชนิดมีหนองหรือสิวอักเสบ น้ำเหลืองเสีย วิธีคือเอาหัวสดของบีทรูท จำนวน 1 หัว ต้มกับน้ำพอประมาณจนเดือด ไม่ต้องเติมอะไรลงไป ดื่มขณะอุ่น หรือจะกินเนื้อด้วยก็ได้ ช่วยบำบัดอาการสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสียได้ ไม่ต้องกินประจำแต่ต้องกินเรื่อยๆ จะสังเกตเห็นว่าสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสียค่อยๆ ดีขึ้นและหายได้ (แต่เราใช้วิธีปั่นเอาแนะเริ๊ดกว่าเยอะ)
แครอท จัดได้ว่าเป็นพืชที่มีคุณค่าดีเยี่ยมกับสุขภาพ มากไปด้วยไฟเบอร์ และ น้ำ แครอทเป็นส่วนของราก มีสีส้ม และ เป็นอาหารทีี่ดีสำหรับผิวพรรณ เพราะอุดมไปด้วย beta-carotene ซึ่งจะถูกร่างกายจะเปลี่ยนรูปให้เป็นวิตามิน A นอกจากอุดมไปด้วยวิตามิน A ที่อยู่ในรูปของเบต้า แคโรทีนแล้ว ยังคงมีวิตามิน B,C, E และแร่ธาตุต่าง แครอทยิ่งมีสีเข้มแสดงถึงเบต้า แคโรทีนที่มากขึ้นไปด้วย และเนื่องจากแครอทจะมีน้ำตาลอยู่ค่อนข้างมากดังนั้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็ควรปรึกษาจากแพทย์ก่อน ว่าสามารถดื่มได้มากเท่าไหร่
การดื่มน้ำแครอทจะได้ประโยชน์จากแครอทมากกว่าการกินดิบ ๆ เพราะว่า สารอาหารบางส่วนจะยังคงอยู่ในไฟเบอร์ซึ่งไม่สามารถย่อยสลายโดยร่างกายได้ ดังนั้นการคั้นน้ำออกมาจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
ในปัจจุบันผู้คนเริ่มหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกาย สุขภาพใจ และ สุขภาพผิว
เราจะเห็นได้ว่า มีการวิจัย เพื่อนำสารสกัดที่มีประโยชน์มาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง หรือ อาหารเสริมกันมากขึ้น และแครอท ก็เป็นหนึ่งในพืชที่มีประโชยน์กับร่างกายและผิวพรรณดังจะเห็นได้จากการที่มีครีมบำรุงผิวนำสารสกัดจากแครอทมาใช้
น้ำแครอท มีประโยชน์อย่างไรนำ้แครอท เอง อุดมไปด้วยสารอาหาร อย่าง แคลเซียม โพแทสเซียม วิตามิน C, A (โดยร่างกายจะแปรเปลี่ยนจาก Beta Carotene) ซึ่งมีประโยชน์กับสายตา ผิวพรรณ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ประโยชน์ของแครอทต่อผิวพรรณ
- วิตามิน A จะเป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตเนื้อเย่ือของร่างกาย ซึ่งแครอทอุดมไปด้วยวิตามิน A ซึ่งอยู่ในรูปของ เบต้า แคโรทีนนั่นเอง
- ช่วยชลอการะบวนการแก่ เนื่องจากแครอทเองมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก และเจ้าอนุมูลอิสระ ก็เป็นสาเหตุของปัญหาผิว ริ้วรอย ผิวหนังอักเสบ
- ปกป้องผิวจากแสงแดด เนื่องจากแครอทอุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับแสงแดด และ ช่วยรักษาผิวไหม้จากแดด ด้วยการเสิรมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นดื่มน้ำแครอทในหน้าร้อน ก็เปรียบเสมือนเราได้สารปกป้องจากแสงแดดได้ตามธรรมชาติ
- เสริมสร้างการสร้างคอลลาเจน โดยวิตามิน ซีในแครอท จะช่วยการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญสำหรับความยืดหยุ่นของผิว ลดริ้วรอย ชลอการแก่
- ช่วยลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
- ลดและปกป้องผิวจากการเกิดสิว เนื่องจากแครอทจะมี essential oil ที่จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ก็จะช่วยลดการเกิดสิวได้
- รักษาแผลเป็น หนึ่งในประโยชน์ของแครอทการมีผลทางการรักษาบรรเทาแผลเป็น ด้วย วิตามิน A ที่มากในแครอท และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อ
การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก
การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด
เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"
กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง
แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน
เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ
มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 2) ก็คือ การส่งเสริมโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักขายโรตีมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก
มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง
น้ำผึ้งเป็นอาหารทรงคุณค่าจากธรรมชาติที่กินแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพในหลากหลายรูปแบบ เพราะนอกจากมีสารอาหารมากมายเป็นส่วนประกอบแล้ว น้ำผึ้งยังมีสรรพคุณทางยาที่ใช้เป็นส่วนผสมในการรักษาโรคและบำรุงผิวพรรณของคุณแม่ให้สวยงามเปล่งปลั่งชุ่มชื้นอีกต่างหาก
สารสำคัญในน้ำผึ้ง
ตามปกติแล้วน้ำหวานที่ปล่อยออกมาจากต่อมน้ำหวานของพืชแต่ละชนิดจะมีกลิ่น รส สี แตกต่างกันออกไปตามดอกไม้ที่ผึ้งบินออกไปเก็บน้ำหวานมา เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย ดอกลิ้นจี่ ดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยในน้ำผึ้งประกอบด้วยสารสำคัญ คือ น้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโคส ฟลุกโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือ น้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุเดียวเป็นส่วนใหญ่ ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย เราจะเห็นได้ว่าคนในอดีตนิยมใช้น้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมของยารักษาโรคหลายขนานและบำบัดบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ เป็นจำนวนมาก
ประโยชน์ดีๆ จากน้ำผึ้ง
- น้ำผึ้งมีประโยชน์ต่อร่างกาย หากกินเป็นประจำจะบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง อาทิ
- ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อย กินน้ำผึ้งวันละ 1-2 หยดเป็นประจำจะช่วยลดอาการอ่อนเพลีย บำรุงให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าขึ้น
- บำรุงสมอง นอนหลับง่าย น้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอก คาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น
- ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรต น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กได้ บรรเทาโรคโลหิตจางได้ เนื่องจากน้ำผึ้งมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบิน ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดงให้มากขึ้น
- มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียว และยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ซึ่งแร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
จากคุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง รวมทั้งรสหวานตามธรรมชาติ และกลิ่นรสเฉพาะตัว จึงนิยมนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าและให้รสหวาน เช่น
- ผสมในเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้แก่ ชา กาแฟ นม โยเกิร์ต น้ำมะนาว หรือในต่างประเทศจะนำไปทำเบียร์หรือไวน์
- ผสมในขนมอบและขนมหวานต่าง ๆ คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของน้ำผึ้งในขนมปัง คือ น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาล ฟรุกโตส ซึ่งมีคุณสมบัติดึงความขึ้นไว้ได้นาน ดังนั้นขนมปังหรือขนมที่ผสมน้ำผึ้งจะนิ่มอยู่นานกว่าใช้น้ำตาลทรายธรรมดา หลังจากนำออกจากเตาอบแล้ว
- ผสมในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธัญพืชเป็นอาหารเช้า หรือผสมในอาหารเด็กอ่อน
- ทำเป็นสเปรค (Spreads) สำหรับทาขนมปัง ก็ให้ความรู้สึกอร่อยนุ่มลิ้นได้เหมือนกัน
น้ำผึ้งกับความงามของผู้หญิง
น้ำผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ถูกใช้เพื่อความงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม เนื่องจากคุณสมบัติตามธรรมชาติที่ในน้ำผึ้ง ดังนี้
มีสารบำรุงผิวและผมชั้นดี น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ คือสามารถดึงและเก็บความขึ้นไว้ได้ ทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ได้แก่ คลีนซิ่ง ครีม แชมพู และคอนดิชันเนอร์ และเนื่องจากน้ำผึ้งมาจากธรรมชาติไม่ระคายเคืองผิวหนัง จึงเหมาะอย่างมากกับผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบาง และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก
มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ปกป้องผิว น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ สารแอนตี้ออกซิแดนต์มีบทบาทในการปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสง UV และช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านจุลินทรีย์ และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เพราะน้ำผึ้งมีปริมารน้ำตาลสูง จึงจำกัดปริมารน้ำที่แบคทีเรีย จะสามารถเติบโตได้ มีความเป็นกรดสูง (pH ต่ำ) และปริมาณโปรตีนต่ำ ทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับในโตรเจนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต และมีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และแอนตี้ออกซิแดนต์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เป็นต้น
ข้อมูลวิชาการจาก :
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakkzTURVMU1nPT0=
http://healthbeauty-sugarcane.blogspot.com/2011/07/blog-post.html
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=506669
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7
http://health.kapook.com/view25516.html