Saturday, November 14, 2015

ครีมเร่งผิงขาว "มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์" หยุดใช้ขาแตกลาย ผื่นคันขึ้นรุนแรง

พลาดกันไปเท่าไหร่แล้วกับครีมเร่งผิวขาว
ผิวเสียกันไปเท่าไหร่แล้วกับครีมเถื่อนอันตราย

รักษากันนานเท่าไหร่แล้วกับการใช้ครีมมีสารอันตราย
เสียเงินไปกันมากเท่าไหร่แล้วกับการรักษา

"เพราะใช้ครีมเถื่อน"



สวัสดีครับทุกคน วันนี้นุชาจะบอกเล่าประสบการณ์จากน้องคนนึง 
ที่อินบล็อกมาใน Facebook ส่วนตัวของนุชา 



เนื่องจากมีอาการผื่นแดงคันชนิดรุนแรงมาก 
หลังจากใช้ครีมทาผิวขาวที่อ้างว่าช่วยทำให้ผิวขาวอย่างรวดเร็ว
ด้วยความอยากขาวมากจึงซื้อใช้ทันที












น้องได้ใช้ครีมประมาณ 1 อาทิตย์ 
ก็เริ่มมีผื่นคันขึ้นทันที มีอาการที่รุนแรงมาก 







เมื่อพบแพทย์แล้วแแพทย์ กล่าวว่าเป็นอาการชี้วัดถึง 
การใช้ครีมที่มีสารสเตียรอยด์ชนิดที่รุนแรง 


นอกจากอาการบวมแดงเป็นผื่น 
ยังมีอาการแตกลายของผิวร่วมด้วยครับ ดูจากภาพค่อนข้างน่ากลัวมาก



น้องบอกกับนุชาว่า 
"ตอนที่ผมเป็นผมเครียดมาก ถึงขั้นอยากจะฆ่าตัวตายเลย" 









แต่ก็ผ่านจุดนั้นมาได้ น้องเลยอยากเตือนเพื่อนๆทุกคนไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ 
ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยเท่านั้น 




"จะได้ไม่เสียใจเหมือนตัวเองที่เป็นอยู่"




ทราบไหมครับว่า ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันที่ใช้ แต่ผลเอฟเฟคผลหลังจากใช้แล้ว 
รักษาได้ไม่คุ้มเสียกับสิ่งที่คนหวัง 





ต้องเสียเงินรักษาและค่าเดินทางเยอะมาก 
และไม่สามารถตอบได้ว่าระยะเวลาที่รักษาจะหายเมื่อไหร่ถึงจะหายเป็นปกติครับ



นุชาอยากให้ดูเคสของน้องไว้เป็นตัวอย่าง
อย่าให้กระแสนิยมทางสังคมที่ใครก็ไม่รู้สร้างขึ้นมาเป็นตัวฉุดเราให้หลงไปว่า



ต้องขาวมากเท่านั้นถึงจะมีคนชอบ 
หน้าใสไร้ที่ติเท่านั้นจะมีคนมายอมรับเรา 
"จงเป็นตัวเองดีกว่า"


ความสวยของเราต้องเป็นตัวเอง
เราเลือกได้ ใช้อะไรแบบปลอดภัย กับตัวเองดีกว่าครับ


จะซื้ออะไรให้ศึกษาอย่างชัดเจนว่าดีจริงมั้ย น่าไว้ใจไหม 
ราคาสมเหตุผลรึเปล่า เช็ค อย. ให้ชัดเจน แล้วค่อยตัดสินใจใช้ครับ






หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าสารสเตียรอยด์ที่เขามักผสม
ในครีมเร่งผิวขาวมีโทษอย่างไร นำบทความจาก ดังนี้ครับ



1. การติดเชื้อ
การใช้สเตียรอยด์ในขนาดสูงมีผลกดภูมิต้านทานของร่างกาย 
ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อราได้ง่าย 
นอกจากนี้สเตียรอยด์ยังอาจบดบังอาการแสดงของโรคติดเชื้อ 
ทำให้ตรวจพบโรคเมื่ออาการรุนแรงแล้ว




2.กดการทำงานของระบบที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน

ระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการหลั่งสเตียรอยด์ฮอร์โมน 
ประกอบด้วยอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย 3 แห่ง ด้วยกันคือ 

ฮัยโปธาลามัส (Hypothalamus) 
ต่อมพิทุตารี (Pituitary gland) 
และต่อมหมวกไต (Adrenal gland) 

ในภาวะที่มีระดับของคอร์ติโซล (Cortisol) ในเลือดสูงจะมีการกระตุ้น
จากฮัยโปธาลามัสไปยังต่อมหมวกไตให้ลดการสร้างสเตียรอยด์ 

ในทางตรงกันข้ามถ้าระดับของคอร์ติโซลต่ำ จะมีผลกระตุ้นให้ต่อมหมวกไต 
สร้างฮอร์โมนนี้เพิ่มขึ้น การให้สเตียรอยด์ขนาดสูง จะไปกดการทำงานของระบบอวัยวะ
ที่ทำหน้าที่สร้างและควบคุมการการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ 

ซึ่งจะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับขนาดของยา ที่ได้รับและระยะเวลาในใช้ยา 
เช่น ถ้าให้สเตียรอยด์ในขนาดที่เทียบเท่ากันเพรดนิโซโลน 5 มิลลิกรัมต่อวัน 
แทบจะไม่มีผลที่จะกดการทำงานของระบบนี้เลย 
แต่ถ้าให้ขนาดสูงเทียบเท่ากับเพรดนิโซโลน 

15 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานานกว่า 1-2 เดือน จะมีผลต่อการกดการสร้างฮอร์โมนได้มาก 
ทำให้เมื่อหยุดใช้ยานี้แล้ว ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนนี้ได้เพียงพอ
ต่อความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด 




3. แผลในกระเพาะอาหาร 
สเตียรอยด์มีผลทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลง และยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
ทดแทนเนื้อเยื่อเก่าที่หลุดไป นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางรายยังพบว่า 

มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นด้วย การใช้สเตียรอยด์อาจทำให้มีอาการกระเพาะอาหาร
ทะลุ หรือเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ โดยไม่มีอาการปวดมาก่อน 
ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันว่า 

การให้ยาลดกรดร่วมกับสเตียรอยด์จะมีผลช่วยป้องกันการเกิดแผลได้ 
แต่ในทางปฏิบัติก็มีแพทย์จำนวนไม่น้อยที่นิยมให้ยาดังกล่าวร่วมกัน




4. ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
สเตียรอยด์อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ และอารมณ์ของผู้ใช้ยาได้ 
การใช้ยาขนาดสูงจะทำให้เกิดอารมณ์เป็นสุข

จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้มีอาการติดยา นอกจากนี้ยังพบอาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ 
เช่น นอนไม่หลับ เจริญอาหาร กระสับกระส่าย หงุดหงิด เป็นต้น 




5. กระดูกผุ (Osteoporosis) 
การใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน มีผลทำให้กระดูกผุได้ 
ดังนั้นผู้ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดกระดูกผุอยู่แล้ว 
เช่น ผู้สูงอายุ คนที่เป็นโรคไขกระดูก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน



6. ยับยั้งการเจริญเติบโตของร่างกาย
เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเด็ก การให้ยาขนาดสูงในเด็ก 
จึงไม่ให้ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลานาน แต่จะให้ยาแบบวันเว้นวัน 
เพราะจะทำให้มีฤทธิ์และอาการไม่พึง-ประสงค์น้อยกว่า



7. ทำให้ระดับโปแตสเซียมในเลือดต่ำ
ผลของสเตียรอยด์ ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือโปแตสเซียมทางปัสสาวะมาก
ซึ่งป้องกันได้โดยให้ลดการกินโซเดียม และกินอาหารที่มีโปแตสเซียมสูงแทน 
เช่น ส้ม กล้วย ผู้ที่มีระดับโปแตสเซียมต่ำมาก อาจมีผลทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย 
กล้ามเนื้อไม่มีแรง และหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหยุดเต้นได้



8. ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
การใช้สเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน จะทำให้มีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล้ามเนื้อบริเวณต้นขาและแขน 
ซึ่งเมื่อลดขนาดยาลงก็จะมีผลทำให้อาการดีขึ้น 
และต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะเป็นปกติ 



9.ผลต่อตา
ยาหยอดตาบางชนิด มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ไปนาน ๆ 
อาจทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น 
และมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย บางรายอาจทำให้ตาบอดได้




10. ผลต่อผิวหนัง 
สเตียรอยด์ในรูปของยาทาภายนอก มีผลทำให้ผิวหนังบางเป็นรอยแตกและมีลักษณะเป็นมัน 
การใช้สเตียรอยด์ที่สูตรโครงสร้างมีฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบ 
ถ้าทาบริเวณใบหน้าอาจจะทำให้หน้ามีผื่นแดง 
และมีอาการอักเสบของผิวหนังรอบ ๆ ในบางรายอาจมีสิวเกิดขึ้นด้วย




11. ฤทธิ์และอาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ 
สเตียรอยด์มีผลทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า Cushing ‘s Syndrome 
ลักษณะพบในผู้ป่วยประเภทนี้ เช่น อ้วน ขนดก ระบบประจำเดือนผิดปกติ 
ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อไม่มีแรง ปวดหลัง เป็นสิว มีอาการทางจิตใจ 
หัวใจล้มเหลว บวมน้ำ เป็นต้น



No comments:

Post a Comment