วิธีการสวนลำไส้เป็นวิธีที่นุชารู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ ครับเพราะคุณแม่ชอบศึกษาเ่รื่องธรรมชาติบำบัด และเคยอบรมสุขภาพที่สันติอโศก เชียงรายอโศก จึงทำให้นุชาซึมซับแนวคิดมาใช้บ้าง (รึเปล่า 55) นุชาหัดมาสวนลำไส้เพราะหวังที่จะรักษาสิวครับมาดูกันดีกว่าว่าการสวนล้างลำไส้ใช้อะไรบ้างมีประโยชน์และผลเสียอย่างไรบ้างครับ
การสวนล้างลำไส้ที่มีการทำโดยแพทย์ทางเลือกและชาวบ้านมี 2 วิธี ได้แก่
- การสวนล้างด้วยน้ำ หรือน้ำอุ่นธรรมดา
- การสวนล้างด้วยน้ำร่วมกับสารอื่นที่เชื่อว่าสามารถดูดซับสารพิษ หรือเร่งการขับถ่ายสารพิษจากลำไส้ เช่น กาแฟ นาว น้ำอัลคาไลน์ น้ำย่านาง น้ำรางจืด เป็นต้น
การสวนล้างลำไส้ควรทำภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์หรือพยาบาลที่มีความรู้เท่านั้น เพราะอาจเกิดอันตรายได้ แต่ก็มีเครื่องมือที่จำหน่ายในท้องตลาดที่สอนให้ประชาชนสวนล้างลำไส้ด้วยตนเองซึ่งต้องทำด้วยความระมัดระวัง นอกจากนี้ ในการสวนล้างลำไส้อาจมีการสวนด้วยปริมาณน้ำที่แตกต่างกันไป บางคนอาจสวนด้วยน้ำครั้งละ 1-2 ลิตร (เริ่มแรกแนะนำให้สวนครั้งละน้อยๆ ก่อนนะครับ) บางคนใช้น้ำธรรมดา ในขณะที่บางคนใช้น้ำอุ่นหรือร้อน ซึ่งบางครั้งอาจจะร้อนเกินไปจนทำให้ลำไส้เน่าได้
ใครบ้างที่ควรทำการสวนล้างลำไส้
ความจริงแล้วการสวนล้างลำไส้ควรจะทำในรายที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น ซึ่งได้แก่ ในรายที่ท้องผูกเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ในรายที่เป็นโรคตับวาย หรือตับไม่ทำงาน (Hepatic encephalopathy) ในรายที่มีภาวะเชื้อแบคทีเรียในลำไส้มากผิดปกติ (Bacterial overgrowth syndrome) ในรายที่ต้องเตรียมลำไส้ก่อนทำการส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ หรือก่อนผ่าตัด เป็นต้น ในคนปกติทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องทำการสวนล้างสำไส้ หากต้องการทำก็ควรทำเป็นครั้งคราวหรือทำเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่ควรทำเป็นกิจวัตรประจำวัน หรือทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน
คนปกติจำเป็นต้องสวนล้างลำไส้หรือไม่
คนปกติทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องทำการสวนล้างลำไส้เป็นประจำ ในรายที่มีอาการท้องผูกมากๆ หรือไม่ถ่ายติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน อาจจะทำการสวนล้างลำไส้ได้บ้าง เป็นครั้งคราว หรือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ กรณีของผู้สูงอายุที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำ อาจจะทำเป็นครั้งคราวแต่ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะผู้สูงอายุจะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการสวนล้างลำไส้ได้ง่ายกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น
การโฆษณาสวนล้างลำไส้ จริงเท็จอย่างไร
การโฆษณาว่าเมื่อสวนล้างลำไส้แล้ว สามารถรักษาโรคได้สารพัดนั้น เป็นการโฆษณาที่เกินความเป็นจริง เพราะการสวนล้างทำให้เกิด "ความรู้สึกดี" หรือ "สบายตัว" หายแน่นท้องเท่านั้น แต่ไม่ได้รักษาโรคใดๆ ตามที่โฆษณาไว้ เช่น โรคปวดศีรษะ โรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันสูงหัวใจ โรคข้อรูมาตอยด์ เกาต์ โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบ นอนไม่หลับ เป็นต้น โรคที่ทางการแพทย์ให้ทำการสวนล้างลำไส้รักษาได้แก่ โรคท้องผูก ตับวาย ลำไส้ไม่ทำงาน เป็นต้น ดังนั้นจึงควรใช้วิจารณญาณพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะเชื่อคำโฆษณา และจะต้องทบทวนวิถีชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพของตนเองว่าที่ผ่านมาดำเนินชีวิตอย่างไร
อายุเท่าไรไม่ควรสวนล้างลำไส้
ความจริงไม่มีอายุใดเป็นข้อห้ามในการสวนล้างลำไส้ ข้อห้ามในการสวนล้างลำไส้เป็นภาวะหรือโรคที่อาจมีอันตรายมากกว่า ได้แก่ ภาวะลำไส้อุดตัน โรคที่มีการอักเสบของลำไส้ โรคที่มีการติดเชื้อในช่องท้อง หรือโรคที่สงสัยว่าจะมีการแตกหรือทะลุของลำไส้ เป็นต้น การสวนล้างลำไส้ควรทำภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์หรือพยาบาลเท่านั้น ไม่ควรทำเองโดยไม่จำเป็น ร่างกายของคนเรามีระบบล้างพิษด้วยตัวเองอยู่แล้ว การขับถ่ายของเสียทางปัสสาวะ ระบบรูขุมขน น้ำเหลือง แต่ถ้าวิถีชีวิตไม่สมดุล ก็ควรจะปรับให้สมดุลและใช้วิธีการล้างพิษแบบธรรมชาติ นั่นคือ กินอาหารที่เส้นใยมากขึ้นและกินให้ครบ 5 หมู่
เป็นสิวสวนแล้วดีจริงหรือ
สำหรับนุชาแล้ว การสวนลำไส้นั้นเป็นวิธีการล้างพิษที่ดีและเห็นผลเร็วที่สุดครับเพราะนุชาจะใช้กาแฟในการสวน ซึ่งสาร คาแฟอีนในการแฟนั้น เมื่อ เราสวนเข้าไปในลำไส้ใหญ่แล้วลำไส้จะดูดซึมสารคาเฟอีน กระตุ้นเอนไซน์ในตับไปขับสารพิษที่ตับดวยจึงทำให้รู้สึกสดชื่นทันทีหลังทำด้วยและผลทางตรงคือช่วยทำความสะอาดลำไส้ด้วยนะครับ หากตับเราสะอาดแล้วก็จะทำหน้าที่ในการขับสารพิษออกมาได้ดีขึ้นและโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตับ ก็อาจมีส่วนหายได้เช่นกันครับ แต่ทั้งนี้การสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟนั้นอาจจะไม่เหมาะกันเสียทุกราย บางรายใช้แล้วร้อนใน บางร้ายเวียนหัว ผู้ีที่ต้องการสวนลำไส้นั้นจะต้องทดลองเองครับ หากมีอาการร้อนเกินจาการสวนลำไส้นุชาแนะนำให้ทานน้ำย่านางคั้นสด 3 เวลา หรือทานแบบสกัดเย็นก็ได้ครับ
สิ่งที่นุชาพบหลังจากล้างพิษร่วมกับการปรับการทานอาหาร
- กรดไหลย้อนหายไป
- สิวดีขึ้น
- ผิวพรรณสดใส
- กลิ่นปาก กลิ่นตัวหายไป
ข้อห้ามของการสวนล้างลำไส้
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบลำไส้ใหญ่ เช่นลำไส้ใหญ่อักเสบ อุดตัน มะเร็งลำไส้ เพราะเมื่อใส่น้ำเข้าไปจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น อาจทำให้ลำไส้แตกและเสียชีวิตได้
- ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลำไส้โดยเปิดลำไส้ให้ขับถ่ายทางหน้าท้อง
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงรุนแรง
- เด็ก
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก
- ผู้ป่วยช่องท้องอักเสบ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการสวนลำไส้
- ขวดสวน
- สายยางสำหรับสวน
- เจลหล่อลื่น
- กาแฟบริสุทธิ ,มะนาว,น้ำด่าง,น้ำย่านางสกัดเย็น.น้ำรางจืดสกัดเย็น เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
- กาต้มน้ำ
ขั้นตอนการสวนลำไส้
- เตรียมน้ำดื่ม 1300 ซีซี สำหรับผู้ชาย , 1000 ซีซี สำหรับผู้หญิง (เพื่อความปลอดภัยเริ่มแรกๆ แนะนำให้ทำครั้งละ 500 ซีซี ก็พอนะครับ)
- ตวงน้ำออกมาจากข้อ1 1 แก้ว ประมาณ 200 ซีซี
- น้ำที่ตวงออกมานี้ต้มกับกาแฟ 1 ช้อนชา เดือดครู่เดียวก็พอ ( 1/2 - 1 นาที ) กรองเอาแต่น้ำมาผสมกับส่วนแรกจะได้น้ำกาแฟอุ่นกำลังดี
- กรอกใส่ขวด แขวนที่สูงไม่เกิน 1 เมตร เปิดวาลว์ไล่ลมที่อยู่ในสายออกแล้วปิดวาลว์ การแขวนขวดนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะแขวนสูงเกินไป เพราะสายยางที่มากับขวดดีท็อกทำไว้พอดีแล้ว แขวนจนสูงสุดของสายยางก็คือพอดี
- ล้างก้นให้เปียกเพื่อใส่สายได้ง่าย เอาสายสวนเข้าทวารลึกประมาณ 8-15 ซม. เปิดวาล์วให้น้ำกาแฟเข้าไปจนหมดขวด ดึงสายออก กลั้นไว้ 10 นาที แล้วจึงไปถ่าย นวดท้องด้วยจะช่วยให้ถ่ายได้เยอะขึ้น
* ในระหว่างที่น้ำยังไม่หมดขวดถ้าปวดถ่ายมากให้ปิดวาล์วน้ำสักพักก่อน แล้วค่อยเปิดใหม่* การกลั้นน้ำกาแฟกลั้นนาน 10 นาทีกำลังดี กลั้นไม่ถึง 10 นาทีหรือไม่กลั้นเลยก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ควรเกิน 10 นาที
* การสวนทวารด้วยกาแฟควรทำเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น หากทำช่วงบ่ายหรือเย็นจะทำให้นอนไม่หลับ
* การใส่สายยาง การใส่ตื้นจะทำให้รู้สึกปวดเบ่งมากกว่า การใส่ลึกจะรู้สึกปวดเบ่งน้อยกว่า และไม่มีอันตรายอะไร - การสวนทวารนี้จะทำในท่านอน ควรสวนทวารในท่านอนตะแคงขวา เมื่อดึงสายออกแล้วนอนในท่าหงายจนกว่าจะครบเวลา
*ใช้น้ำมะนาวแทนกาแฟก็ได้ โดยใช้มะนาว 1 ลูก คั้นน้ำ เตรียมน้ำอุ่นให้พอดี แล้วจึงผสมน้ำมะนาวลงไป
* ใช้มะขามเปียกก็ได้ โดยใช้มะขามเปียก 3-4 ฝัก ต้มกับน้ำ 1 แก้ว เดือดครู่เดียวก็ยกขึ้นกรองเอาแต่น้ำผสมกับน้ำส่วนที่เหลือ
*ห้ามใช้น้ำสบู่สวนทวาร เพราะน้ำสบู่มีฤทธิ์เป็นด่าง แต่ในลำไส้ใหญ่เป็นกรด(จุลินทรีย์ดีในลำใส้ใหญ่ชอบภาวะกรด)
* ห้ามใช้หม้ออลูมิเนียมต้มมะขามเปียก ควรใช้เป็นหม้อสเตนเลส( น้ำกรดจะละลายอลูมิเนียมออกมาด้วย )
* การสวนด้วยน้ำมะนาวหรือมะขามเปียกหรือน้ำเปล่าหรือสมุนไพรตัวอื่นๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ ทำได้ทุกเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน และไม่ต้องกลั้น 10 นาทีเหมือนอย่างกาแฟ
* ทั้งกาแฟ มะนาว มะขามเปียก หรือสมุนไพรตัวใดก็ตาม ต้องใช้น้ำอุ่นเหมือนกัน ประมาณ 37 -40 องศาเซลเซียส ไม่มีเครื่องวัดไม่เป็นไร ใช้นิ้วก้อยแหล่ลงไปศัก 1 นาที จับดูอุ่นๆ ไม่ถึงกับร้อนก็ใช้ได้เอาแบบอุ่นๆ เกือบเย็นนะครับ - ควรทำวันละ 1 ครั้ง ทุกวัน เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทำคือตอนเช้าไม่เกิน 7.00 น. แต่ถ้าไม่สะดวกทำเวลาไหนก็ได้
- ถ้าจำเป็นต้องทำมากกว่าวันละครั้ง เช่นผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องทำวันละ 3 - 4 ครั้ง จำเป็นต้องใช้วิตามินผสมกับน้ำกาแฟด้วยเพื่อทดแทนวิตามินที่สูญเสียไปกับการถ่ายท้อง ตัวที่ใช้คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ ( Vibrumin ) 2 ซีซี และสกัดตับ ( Liver Extract ) 2 ซีซี
- สำหรับคนที่ไม่ถูกกับกาแฟ คือใช้กาแฟแล้วไม่สบายตัว ให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมะนาวหรือมะขามเปียกหรือน้ำเปล่าแทน
จุดประสงค์ของการใช้กาแฟก็เพื่อกระตุ้นตับให้ขับสารพิษ ซึ่งไม่จำเป็นนักสำหรับคนทั่วไป
จุดประสงค์ของการใช้น้ำมะนาวหรือมะขามเปียกก็เพื่อกระตุ้นลำไส้ให้บีบตัวขับถ่ายออกมาดี ซึ่งก็ไม่จำเป็นเท่าไรอีกเพราะลำพังน้ำเปล่าก็สามารถพาอุจจาระออกมาได้มากเพียงพอแล้ว ดังนั้นท้ายสุดของบทความนี้จึงขอแนะนำให้ใช้น้ำเปล่าเป็นส่วนมาก และเลือกใช้กาแฟ มะนาว มะขามเปียกเป็นครั้งคราวเช่นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพราะจุดประสงค์หลักของการสวนทวารคือแก้ท้องผูก ซึ่งจำเป็นต้องทำทุกวัน และน้ำเปล่านั้นสามารถทำได้ทุกวันโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆทั้งสิ้น ส่วนน้ำสมุนไพรนั้น(กาแฟ มะนาว มะขามเปียก และอื่นๆอีก)หากใช้ต่อเนื่องยาวนานเป็นเดือนเป็นปีย่อมต้องมีผลข้างเคียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงสมควรใช้เป็นเพียงครั้งคราว เช่น สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ก็จะปลอดภัยจากผลข้างเคียงดังที่ได้กล่าวมา
จบภาคทฤษฎี มา ปฏิบัติกันเถอะ
ขวดประกอบกับสายที่ผ่านการลวกเพื่อฆ่าเชื้อแล้ว
ผสมน้ำกาแฟอุ่นๆ แล้วเทใส่ตามปริมาณที่่แนะนำข้างต้น
เตรียมเสร็จแล้ว หน้าสดโทรมหน่อย ฮ่าๆ
ทาวาสลีนหรือเจลหล่อลื่นที่มี เอา Durex Play มาทาก็ไม่ว่ากันเอาให้ลื่นๆ
นอนตะแครงขวาแล้วแหย่ลงไปในตูด พร้อมทำหน้าฟิน 123 พร้อมน้ำ ปล่อยเสร็จนอนหงาย
ยกหัวสูงหน่อย นวดๆ ที่หน้าท้องเบาๆ รอ 10 นาที เข้าห้องน้้ำเพื่อปล่อย (ห้ามเบ่ง) เสร็จขั้นตอน
ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่
https://www.facebook.com/happynuchaShop
https://www.facebook.com/happynucha
ขอบคุณครับ
นุชา
XOXO
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก
http://www.doctor.or.th/article/detail/1465
http://www.dailynews.co.th/politics/203381
No comments:
Post a Comment