เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ตุลาคม 2556
..
.
.
ก่อนเขียนบทความมาอัพเดทสภาพผิวหน้าของ วันที่ 14 มีนาคม 2557 กันก่อน ว่าตอนนี้ดีขึ้นมากมายแล้วนะครับ ภาพถ่ายตอนเย็นๆ หลังจากงีบนอนแล้วตื่น ก็มาถ่ายเลย ตอนนี้ยังมีรอยสิวและหลุมที่ต้องรักษาอีกเยอะ และยังคงมีสิวอักเสบขึ้นบ้าง.. เมื่อนอนดึกติดต่อกันนานหลายวันนะครับ แต่สิวอดตันที่เป้นไตๆ หรือ ถุงน้ำ (ซีส) ใต้ผิวไม่มีแล้วนะครับ
สวัสดีครับวันนี้นุชาจะมาเขียนบทความเล่าเกี่ยวกับเคสต่างๆ ที่ได้เข้ามาปรึกษาปัญหาสิวกับนุชา ซึ่งแต่ละวันมีค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งวันนี้นุชาจะขอเล่ากรณีเคสของน้องส้ม ซึ่งเข้ามาปรึกษาสิวและปัญหาเกี่ยวกับความเครียดที่ส้มกำลังเผชิญอยู่
ส้มเล่าว่า... ส้มเป็นสิวมาประมาณ 4-5 ปี ส้มพยายามหาวิธีการรักษาสิวมาสารพัดวิธี ซึ่งทั้งหาหมอ ทานยา สูตรคุณป้า คุณย่า คุณยาย ก็แล้วเมื่อรักษาช่วงแรกๆ นั้น อาการสิวของส้มก็ทุเลาลง แต่พอผ่านไปซักระยะสิวก็กลับมาเป็นใหม่ ส้มจึงตัดสินใจเลิกหาหมอและหันมาศึกษาหาแนวทางการรักษาสิวด้วยตนเองเพื่อที่ อยากจะหายขาดเหมือนกับคนอื่นๆ บ้าง ส้มเล่าว่า ส้มลองรักษาสิวตามแนวธรรมชาติมาซักระยะคือ ส้มจะงด ขนม ของหวาน อาหารมัน เนื้อสัตว์ ทุกชนิด แบบหักดิบ และหันมาทานผักและผลไม้ในปริมาณมากแทนเมื่อผ่านไปประมาณ 2 เดือน ส้มเล่าว่า ปริมาณน้ำหนักของตัวเองนั้นลดระดับลงอย่างน่าใจหาย จากน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เหลือประมาณ 39-40 กิโลกรัม
ซึ่งร่างกายของส้มนั้น อ่อนแอคล้ายกับคนเป็นโรคขาดสารอาหารตัวส้มเองจึงสันนิษฐานว่าตัวเอง กำลังขาดโปรตีนอยู่ จากนั้นส้มก็ลองรักษาสิวด้วยวิธีการล้างพิษด้วยการสวนลำไส้ และ ล้างพิษตับ เมื่อไปพบแหล่งความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอะไรก็จะนำเอามาปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงว่า ร่างกายของตัวเองนั้นสามารถรองรับหรือสามารถดำเนินตามวิถีแนวทางการปฏิบัตินั้นหรือไม่....
จากนั้น ส้มก็ยังสู้ต่อ เพื่อที่หวังว่าจะรักษาสิวของตัวเองให้หายขาดเสียที แต่นับวันสภาพผิวหน้าและสุขภาพของส้มนั้นเริ่มแย่ลงๆ ทั้งที่ส้มเล่าว่าตัวเองรักษาสุขภาพดีมาก...
เมื่อนุชาคุยกับส้ม อยู่นานและซักถามถึงพฤติกรรม แนวความคิดเกี่ยวกับการรักษาสิว พบว่า ส้มมีความวิตกกังวลมากเกินไป และคิดว่าตัวเองเป็น โรคนั้นโรคนี้ ที่เขาว่าเมื่อเป็นอาจจะทำให้เกิดสิวได้ ส้มจึงรักษาสิวและสุขภาะผิดวิธี จึงทำให้สิวของส้มนั้นไม่หายเสียที และด้วยสภาพจิตใจอันย่ำแย่ จนเกิดความเครียดสะสมมายาวนาน ส้มจะคิดและกังวลตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นสิวไม่หาย และจะมีพฤติกรรมในการส่องกระจกและตัดเพ้อชีวิตว่าทำไมต้องเกิดมาเป็นสิว !!!
จากกรณีของส้มนั้น อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของ ป่วยกายป่วยใจ จากภัยโรคคิดไปเอง ซึ่งอาจจะตรงกับหลายๆ คนที่กำลังรักษาสิวอยู่นะครับ
[1] ไฮโปคอนดิเอซีด (Hypochondriasis) เป็นโรคจิตเวชชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการหมกมุ่นในเรื่องสุขภาพของตัวเองเกินไป กลัวอยู่ตลอดเวลาว่า จะป่วยเป็นโรคร้ายแรง หรือมีโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคไต เอดส์ ไมเกรน โรคหัวใจ โรคปอด เป็นต้น แฝงอยู่
ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าอวัยวะภายในร่างกาย โดยเฉพาะที่ศีรษะ คอ ท้อง และหน้าอกทำงานผิดปกติไปจากเดิม ทั้งที่จริงๆแล้วความเจ็บป่วยอาจจะไม่มีอยู่จริง หรืออาจจะมีแต่เล็กน้อยไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เช่น มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม มึนงง ปวดศีรษะ ท้องอืด ปัสสาวะบ่อย เป็นต้น แต่ผู้ป่วยจะจับอาการเล็กๆ น้อยๆ ของร่างกายมาคิดเป็นเรื่องใหญ่โต และไปหาแพทย์เพื่อขอรับการรักษา
อาการทั้งหมดนี้เป็นความผิดปกติทางจิตเวชอย่างหนึ่ง ผู้ป่วยไม่ได้แกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนใกล้ชิดแต่อย่างใด เขารู้สึกว่าตัวเองปวดจริงๆ แต่ว่าสาเหตุที่ทำให้ปวดไม่มีจริง เหมือนคนไข้บอกหมอว่า ได้ยินเสียงแว่วๆ หมอก็บอกว่า หมอเชื่อว่าคุณได้ยินจริงๆ แต่เสียงนั้นไม่มีอยู่จริง
“คนไข้กลุ่มนี้ มักไปพบแพทย์หลายแห่ง ตรวจหลายอย่าง แต่แม้จะได้การยืนยันจากแพทย์แล้วว่า ไม่พบโรคหรือความผิดปกติใดๆ แต่ผู้ป่วยจะยังเชื่อว่า ตนป่วยเป็นโรคที่แพทย์ยังตรวจไม่พบอยู่อีก”
สังเกตโรคสังเกตอาการ
หากสังเกตตัวเอง และคนรอบข้างพบว่า มีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้รู้ไว้เลยว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไฮโปคอนดิเอซีดค่อนข้างสูง
- มีความคิด หรือหมกมุ่นอยู่กับความกลัวว่าตนเองจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงอยู่ตลอดเวลา
- ความรู้สึกกังวลไม่หายไป แม้จะได้รับการตรวจรักษาอย่างละเอียด และได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วว่าไม่พบโรคนั้นแล้วก็ตาม
- ความรู้สึกนี้ ส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมาน ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ การงานเริ่มบกพร่อง ญาติพี่น้องเอือมระอา มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสังคม
- เป็นมานานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน และมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งกลัวยิ่งเป็นโรคคิดไปเอง
- เกิดจากการแปลความรู้สึกของร่างกายผิด เมื่อมีความผิดปกติของการทำงานในร่างกายเกิดขึ้น คนไข้กลุ่มนี้มักแปลความหมายของความผิดปกตินั้นร้ายแรงมากกว่าคนทั่วไป รวมไปถึงมีความอดทนต่อความรู้สึกไม่ปกติของร่างกายต่ำกว่าคนปกติ
- เกิดจากการใช้บทบาทของผู้ป่วย (Sick role) เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาหรือสถานการณ์ที่แก้ไขไม่ได้ ผู้ป่วยจะเรียนรู้ที่จะใช้บทบาทผู้ป่วยเพื่อเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นั้นๆ
- เกิดจากโรคแทรกซ้อนทางจิตวิทยาอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้า เครียด โรคกังวลไปทั่ว แต่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว จึงแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่ถูก และคิดว่าตัวเองป่วย
- เกิดจากความกดดันบางอย่าง เชื่อว่าผู้ป่วยขาดความภูมิใจในตนเอง และรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับ มีความผิดหวัง จึงใช้กลไกทางจิตชนิดที่เรียกว่าเก็บกด แสดงออกมาเป็นอาการผิดปกติทางกาย เพื่อปกปิดสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ
ดูแลผู้ป่วยโรคคิดไปเองอย่างไรดี
- ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น เช่น รำกระบอง เต้นแอโรบิค เป็นต้น
- ปลูกต้นไม้ การได้เห็นสีเขียวของต้นไม้จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และอารมณ์ดีขึ้น
- อ่านหนังสือ เช่น หนังสือธรรมะ หนังสือตลก นิยายที่เนื้อหาไม่หนักเกินไปนัก ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ได้ความเพลิดเพลินแล้วยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย
- หาโอกาสไปเที่ยว การได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศในสถานที่ใหม่ๆ สามารถลดความวิตกกังวลที่จากเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันที่ตกตะกอนอยู่ในใจได้ เช่น ไปทะเล ภูเขา น้ำตก เป็นต้น
- ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว การพูดคุยปรึกษาหารือ ทานอาหารร่วมกัน ก็สามารถช่วยให้ความตึงเครียด วิตกกังวล และโรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่ทุเลาลงได้
“โรคจิตเภทส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้โดยการทำความเข้าใจกับตนเอง คือ เราต้องมีความหยั่งรู้ในอารมณ์ของตัวเอง เช่น รู้ว่าเวลานี้ตัวเองวิตกกังวลไม่สบายใจ ก็บอกว่าตัวเองวิตกกังวล ไม่โกหกตัวเอง ยิ่งถ้าเรามีความหยั่งรู้ในตัวเอง เราก็จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวชน้อยลง”
เชื่อหรือไม่ครับ เมื่อส้มได้ปรึกษานุชาไป และนุชาก็ได้ให้คำแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานใหม่ และการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ผ่านไปเพียง 1 เดือน อาการสิวของส้มนั้นดีขึ้นอย่างมาก และน้ำหนักก็กลับมามาสู่ปกติ จนนุชาจนต้องอึ้งเลย เพราะหายไวกว่านุชามาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วสิวของส้มจะไม่เยอะมากเท่านุชาหรอกครับ จึงหายเร็วเนาะ.... นุชาได้ขออนุญาตเอารูปของส้มมาลงแล้ว แต่ไม่ได้ครับ เพราะมีผลต่อการทำงานและอื่นๆ จึงขออนุญาตนำเสนอแต่เรื่องราวไปก่อนนะครับ
เป็นสิวอย่าเครียดนะครับ อยากลองทำอะไรหาข้อมูลดีๆ ปรึกษาคนที่รู้จักหรือมีความรู้ในด้านนั้นๆ ก่อน ผลประโยชน์จะตกอยู่ที่ตัวเราเองครับ
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก
[1] นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 240
ติดตามความเคลื่อนไหวพูดคุยกันได้ที่
FaceBook :https://www.facebook.com/Diaryhome
Line ID : Happynucha
E-mail : happynucha.shop@gmail.com
No comments:
Post a Comment